EN
ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาเด็กๆในประเทศไทยป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV (ซึ่งย่อมาจาก Respiratory syncytial virus )เพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝนต่อฤดูหนาว เชื้อจะเจริญเติบโตได้ดีและเด็กๆ เริ่มไปโรงเรียน โรคนี้ อาการในผู้ใหญ่และในเด็กโตจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา และหายได้เอง แต่ในเด็กเล็กจะแตกต่างจากไวรัสชนิดอื่นคือในช่วงแรกจะมีอาการไข้สูงและต่อมาจะมีน้ำมูกและไอมีเสมหะมาก บางรายจะมีอาการหายใจลำบากเหนื่อย ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นลูกมีอาการไอมากหายใจเหนื่อย กินได้น้อย ต้องรีบพามาพบแพทย์นะคะ เมื่อแพทย์ตรวจร่างกาย บางรายแพทย์อาจให้ตรวจน้ำมูกเพื่อหาเชื้อ RSV แต่เนื่องจากโรคนี้ไม่มียารักษาโดยตรงบางครั้งก็สามารถรักษาตามอาการได้เลยค่ะ คือถ้าฟังปอดมีเสียงผิดปกติมักจะให้พ่นน้ำเกลือ พ่น ยาขยายหลอดลม ล้างจมูกและดูดเสมหะ ซึ่งในบางรายต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด ในเด็กเล็ก เด็กที่มีโรคประจำตัวเช่น หอบหืด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอาการอาจจะรุนแรงมาก บางรายต้องให้ออกซิเจน หรือต้องใส่เครื่องช่วยหายใจได้ค่ะ ไวรัส RSV ติดต่อทางเสมหะ น้ำมูกหรือน้ำลาย คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันลูกน้อยได้โดยถ้าเด็กโตให้ใส่แมส ล้างมือบ่อยๆและหลีกเลี่ยงไปในที่ชุมชนหนาแน่น ถ้าเด็กเริ่มมีอาการไอน้ำมูกแนะนำ 1. ให้ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าปกติ กรณีเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน 2. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ 3. ถ้ามีไข้ เช็ดตัว ให้ยาลดไข้ 4. ถ้าไอมากขึ้นเหนื่อยให้รีบมาพบแพทย์นะคะ โรคนี้เหมือนโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจชนิดอื่นคือเป็นแล้วสามารถเป็นซ้ำได้ค่ะ ด้วยความปรารถนาดีจากแพทย์หญิงเดือนเพ็ญ วันทนาศิริ กุมารแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า
เด็กๆ ควรใช้เวลาหน้าจอ (Screen Time) มากน้อยแค่ไหนในแต่ละวัน? ช่วงนี้อยู่บ้านทั้งวันเด็กๆ ใช้เวลาไปกับหน้าจอมากขึ้นหรือป่าว? หากคุณพ่อคุณแม่ไม่เเน่ใจว่าลูกเราใช้เวลากับหน้าจอมากเกินไปไหม วันนี้เรานำข้อมูลเวลาการใช้หน้าจอ (Screen Time) ที่เหมาะสมกับแต่ละวัยมาฝาก โดยเป็นข้อมูลมาจาก American Academy of Pediatrics และ WHO <อายุ: น้อยกว่า 18 เดือน>เวลาหน้าจอ: ไม่ควรใช้เวลากับหน้าจอเลยสิ่งที่พ่อเเม่ทำได้:อาจจะมีการคุยวิดิโอคอลกับญาติพี่น้องได้อยู่ในการดูเเลของพ่อเเม่.<อายุ: 18 - 24 เดือน>เวลาหน้าจอ: ควรใช้เวลากับหน้าจอเพียงเล็กน้อยเท่านั้นสิ่งที่พ่อเเม่ทำได้:ควรเลือกสื่อที่มีคุณภาพเหมาะสมต่อวัยอยู่ในการดูเเลของพ่อเเม่<อายุ: 3 - 5 ปี>เวลาหน้าจอ: ควรใช้เวลากับหน้าจอไม่เกิน 1 ชม. /วันสิ่งที่พ่อเเม่ทำได้:ควรวางแผนกำหนดการใช้เวลากับหน้าจออย่างชัดเจนกับลูก<อายุ: 6 - 10 ปี>เวลาหน้าจอ: ควรใช้เวลากับหน้าจอไม่เกิน 1. ชม ครึ่ง./วันสิ่งที่พ่อเเม่ทำได้:ควรชั่งน้ำหนักระหว่างกรเรียนรู้เทคโนโลยีเเละกิจกรรมอื่นๆเริ่มให้เขาได้วางเเผนการใช้ด้วยตนเองไม่ควรให่้การใช้หน้าจอกระทบการนอนหลับและพักผ่อน<อายุ: 11 - 13 ปี>เวลาหน้าจอ: ควรใช้เวลากับหน้าจอไม่เกิน 2 ชม. /วันสิ่งที่พ่อเเม่ทำได้:สอนลูกให้เข้าใจถึงประโยชน์เเละโทษของการใช้เทคโนโลยีฝึกให้เข้ารู้จักควบคุมเวลาเในการใช้ด้วยตนเอง ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะไม่มีประโยชน์เลยหากคุณพ่อคุณแม่ไม่มีส่วนร่วมเเละการตระหนักถึงความสำคัญของการเล่นเเละการทำกิจกรรมทางกาย รวมทั้งพฤติกรรมการใช้หน้าจอของพ่อเเม่ด้วยเช่นกันที่ส่งผลอย่างมากต่อนิสัยเเละพฤติกรรมการใช้หน้าจอของลูกๆดังนั้น อยากให้พ่อเเม่กำหนดชั่วโมงปลอดหน้าจอในครอบครัว ที่ทั้งพ่อเเม่เเละลูก มีเวลาร่วมกันในการเล่นหรือทำกิจกรรมที่ไม่มีหน้าจอมาเกี่ยวข้องเลย ถือเป็นเวลาผ่อนคลายของเด็กๆ ที่ดีกว่าการเล่นเกมส์ ดูทีวีหรือโซเชียลมีเดียเเน่นอน เพราะเขาจะได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ ผ่านการลงมือทำที่เสริมสร้างจินตนาการ เเละความคิดสร้างสรรค์ ยิ่งในช่วงเวลาเเบบนี้ที่เขาไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหน การเล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกันจะสามารถทำให้เขาได้ปลดปล่อยสิ่งที่เขามีอยู่ในใจ ทั้งจินตนาการ ประสบการณ์ เเละความเครียด วิตกกังวลต่างๆ ออกมาผ่านกิจกรรมที่เขาได้เล่นหากพ่อเเม่ท่านใดมีวิธีจัดการเวลา “การใช้หน้าจอ” ของลูกๆ สามารถเเชร์กันได้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวอื่นๆ อ้างอิง:American Academy of PediatricsWHO
#ลูกก้นแดง ทำไงดี? เกิดจากอะไร?? เวลาเด็กใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปนานๆ หรือเวลาลูกท้องเสีย ถ่ายบ่อย ความเปียกชื้นและสารในอึฉี่ จะกระตุ้นให้ผิวระคายเคือง อ่อนแอ และเปื่อยลอกได้ค่ะ การเลือกยาทา ขึ้นกับความรุนแรง +ผื่นแดงเล็กน้อย ทาตัวไหนก็ได้ ที่เคลือบผิว ++ผื่นแดงมาก อักเสบรุนแรง ควรทายาแก้อักเสบร่วมด้วย +++แต่ในบางคนที่ก้นเปื่อยมาก แนะนำพบแพทย์เพื่อดูว่า มีการติดเชื้อรา/เชื้อแบคทีเรียอื่นๆร่วมด้วยไหมค่ะ เพื่อเลือกยาทาที่เหมาะสม เนื่องจากยาที่ทาตะเป็นคนละตัวกัน ระหว่างยาแก้ผื่น/ฆ่าเชื้อรา/ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ...... ยาทาก้น มีอะไรบ้าง?? - ปิโตรเลียมเจล / ขี้ผึ้ง ช่วยป้องกันการเกิดผื่นได้ แต่ในกรณีที่ก้นแดงแล้ว จะไม่ช่วยในการสมานผิว -zinc oxide และ dexpanthenol สามารถเคลือบผิวลูก ช่วยป้องกันการเกิดผิ่น และช่วยสมานผิวได้ ช่วยลดการอักเสบของก้นได้ดีกว่าขี้ผึ้ง ....... การป้องกัน /ลดผื่น - เปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีที่ลูกอึ - ล้างก้นด้วยน้ำเปล่า แล้วซับให้แห้ง ***ที่สำคัญห้ามเช็ดแรงๆ หรือถูไปมาเพราะจะยิ่งระคายเคือง ***และเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำหอม หรือ แอลกอฮอล์ - เลือกครีมทาก้นที่เหมาะสม ปัจจุบันมีครีมทาก้น แบบเป็นสเปรย์แล้วนะจ๊ะ ช่วยลดการเสียดสี ไม่ต้องทาไปทามา พอล้างก้นลูกเสร็จ ก็แค่ฉีดๆ ปรึ๊บ เสร็จ ช่วยการระคายเคืองให้ก้นลูกได้
ดาวน์โหลดฟรี! หนังสือ 'มหัศจรรย์แห่งการอ่านออกเสียง' เขียนโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ หากคุณพ่อคุณแม่มีคำถามว่า.. - เราควรอ่านหนังสืออะไรให้ลูกในวัยทารกฟังดี? - หากลูกไม่ชอบอ่าน ควรทำอย่างไรดี? - เมื่อไรคือเวลาที่เหมาะสมที่ควร “เริ่ม” หรือ “เลิก” อ่านหนังสือให้ลูกฟัง ลองอ่านหนังสือ 'มหัศจรรย์แห่งการอ่านออกเสียง' ดู! สามารถดาวน์โหลดหนังสือฟรีผ่านลิงค์นี้ได้เลย : https://bookscape.co/read-aloud-prasert-free-download... หนังสือจัดทำโดย โครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัว และการพัฒนาศักยภาพเยาวชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape.
ภาวะตัวเหลืองในเด็กทารกหลังคลอด50% ของทารกสามารถพบอาการตัวเหลืองตั้งแต่หลังคลอด 2-7 วันค่ะ เม็ดเลือดแดงของเด็กทารกซึ่งแตกง่ายเมื่อเม็ดเลือดแดงมีการแตกตัวจะเกิดสารบิลิรูบิน(bilirubin)เพิ่มจำนวนขึ้นในร่างกายจนทำให้สามารถเห็นผิวหนังเด็กมีสีเหลืองในกรณีทารกปกติ แนะนำคุณแม่ป้องกันไม่ให้เด็กทารกตัวเหลืองมากโดยให้เด็กดูดนมคุณแม่ให้บ่อยและถูกวิธีตั้งแต่หลังคลอดเมื่อทารกได้รับน้ำนมเพียงพอ เด็กจะมีอุจจาระและปัสสาวะบ่อย ซึ่งสารตัวเหลืองจะถูกขับถ่ายทางอุจจาระ ปัสสาวะออกมาค่ะวิธีการดูว่าลูกตัวเหลืองคุณแม่สามารถสังเกตโดยกดที่ผิวหนังเด็กโดยเทียบกับฝ่ามือคุณพ่อคุณแม่ บริเวณใบหน้าจะเหลืองก่อนแต่ถ้าตัวเหลืองลงมาถึงบริเวณท้องมักจะต้องได้รับการรักษา คุณหมอจะตรวจดูระดับตัวเหลืองโดยอาจใช้เครื่องมือวัดตัวเหลืองผ่านทางผิวหนังหรือใช้วิธีเจาะเลือดทารกในบางกรณีที่ทารกมีสารตัวเหลืองมากโดยเฉพาะเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือกรุ๊ปเลือดแม่ลูกไม่เข้ากัน เด็กที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD จะต้องรักษาโดยการส่องไฟที่ตัวเด็กเพื่อป้องกันไม่ให้สารตัวเหลืองมีผลกระทบต่อสมองค่ะ ซึ่งในกรณีรุนแรงต้องใช้วิธีการรักษาโดยเปลี่ยนถ่ายเลือดทารกค่ะด้วยความปรารถนาดีจากแพทย์หญิงเดือนเพ็ญ วันทนาศิริกุมารแพทย์โรงพยาบาลพระรามเก้า
อดทน ใจเย็น นุ่มนวล มั่นคง นิ่งดุจหินผารับมือลูกด้วยความสงบใจยามลูกงอแง กรีดร้อง และระเบิดอารมณ์พายุลูกนั้นอาจจะดูน่ากลัวไปบ้างแต่ความสงบ นิ่มนวล และนิ่ง ไม่สั่นคลอนจะช่วยให้พายุนั้นสงบลงในที่สุดยามลูกโวยวาย ให้เราตั้งสติให้มั่นยามลูกเสียงดัง ให้เราเสียงเบายามลูกร้องไห้ ให้เรากอดลูก ถ้าลูกไม่ให้กอดก็นั่งลงข้างๆ ยามลูกทำร้ายตัวเอง ทำร้ายพ่อแม่ ทำลายข้าวของ ให้เราจับมือให้แน่น บอกจริงจังสั้นๆว่า “ไม่ให้ทำ”ยามลูกอาละวาด ให้เราพาออกจากพื้นที่นั้น ให้ลูกสงบลงยามลูกตะโกนบอกไม่รัก ให้เรากอดลูกแล้วบอกลูกว่า “ไม่เป็นไร พ่อแม่รักลูกเสมอ”ถ้าไม่พร้อมทั้งคู่ ให้รอจนกว่าจะพร้อมถ้าลูกไม่พร้อม ให้เรารอจนกว่าลูกจะพร้อมพูดคุยเมื่อทั้งเราและลูกพร้อมพูดคุยเพื่อทำความเข้าใจแล้วค่อยๆสอน ลูกจะใจเย็น ถ้าเราใจเย็นกับลูกลูกจะอดทน ถ้าเราอดทนกับลูกลูกจะควบคุมอารมณ์ได้ ถ้าเราควบคุมอารมณ์เราได้ลูกจะเปิดใจกับเรา ถ้าเราเปิดใจให้กว้างและรับฟังลูกลูกซึมซับสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เราสอนเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวในการเลี้ยงลูกด้วยรักจากใจ แม่อิง#บันทึกแม่อิงเลี้ยงลูก#บันทึกให้ลูกอ่าน#การเลี้ยงลูกพัฒนาทั้งลูกและพ่อแม่#เลี้ยงลูกเชิงบวก#อดทนใจเย็นนุ่มนวลมั่นคงนิ่งดุจหินผา#รับมือลูกด้วยความสงบใจ#Parenting
เด็กเลี้ยงยาก เราไม่จำเป็นต้องไปยากตาม...เด็กแต่ละคนมีตัวตนของตัวเอง มีพื้นฐานอารมณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวติดตัวมาตั้งแต่เกิด มีการรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆไม่เหมือนกัน...และแม้ว่าจะได้รับการเลี้ยงดูที่เหมือนกัน แต่เด็กแต่ละคนก็อาจจะแสดงพฤติกรรมออกมาแตกต่างกัน ทำให้บางครั้งเราอาจจะมีความคิดที่ว่า . . ....ทำไมเด็กคนนี้เกิดมาเลี้ยงง่าย กินง่าย นอนง่าย ปรับตัวง่าย แต่เด็กคนนั้นแค่วันแรกก็ยากแล้ว กินยาก เอาใจยาก นอนยาก ต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากกว่า ...การที่เราคิดว่าเด็กคนนี้เลี้ยงง่ายหรือยากนั่นเพราะเราอาจจะกำลังเอาไม้บรรทัดเดียวไปวัดเด็กที่มีลักษณะต่างกัน...การทำความเข้าใจและการยอมรับในตัวตนจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างของมนุษย์ ไม่เอามาตรฐานหนึ่งมาวัด หรือพยายามปรับตัวตนของเด็ก...และไม่ว่าเขาจะแสดงพฤติกรรมอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่า “ยาก” หรือ “ง่าย”การทำความเข้าใจและการยอมรับในตัวตนโดยไม่ได้เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆจะช่วยให้เราเข้าถึงหัวใจของเด็กช่วยทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นตัวเขาที่ดียิ่งขึ้นและมีกำลังใจในการพัฒนาตัวเองต่อไป...ด้วยรักจากใจแม่อิง...#บันทึกแม่อิงเลี้ยงลูก#บันทึกให้ลูกอ่าน#การทำความเข้าใจและการยอมรับในตัวตน#เด็กเลี้ยงยากเราไม่จำเป็นต้องไปยากตาม#การเลี้ยงลูกเชิงบวก#Parenting
สมองของเด็กเล็กๆมีข้อจำกัด เด็กไม่ได้เกิดมาแล้วจะเข้าใจหลักเหตุผลโดยทันที หรือรู้จักควบคุมอารมณ์ได้ดีแต่เล็กๆ ธรรมชาติของเด็กจะมีการพัฒนาสมองส่วนอารมณ์เร็วกว่าส่วนเหตุผล ...สิ่งหนึ่งที่หม่ามี้จะช่วยให้เรม่ารู้จักการควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้นคือ การช่วยสะท้อนความรู้สึกของตนเอง...การสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกช่วยให้เรม่าเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ณ ขณะนั้น แล้วเรม่าสามารถทำอะไรได้บ้าง ...เรม่าเข้าใจอารมณ์ตัวเองมากขึ้น อธิบายได้มากขึ้น สื่อสารได้ดีขึ้น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาหม่ามี้เลยทำแผ่นสะท้อนความรู้สึกมาเล่นกับเรม่า ...I feel . . . and I need . . . activity chartแผ่นสะท้อนความรู้สึกอุปกรณ์ที่ใช้1.กล่องกระดาษลัง2.เครื่องปริ้นท์เตอร์สำหรับปริ้นท์ภาพ3.กรรไกร4.กาว5.แผ่นเมจิกเทป (velcro)6.ปากกาหมึกเมจิกหรือสีน้ำ...วิธีทำคือเริ่มจากตัดภาพความรู้สึกต่างๆเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วติดเมจิกเทปไว้ด้านหลัง ตัดกล่องกระดาษเป็นไซส์เหมือนสมุด ติดเมจิกเทปอีกด้านไว้เป็นแถวๆ ตกแต่งให้สวยงาม...วิธีเล่น หม่ามี้ค่อยๆเพิ่มคำศัพท์เรื่องอารมณ์วันละคำสองคำให้กับเรม่า อธิบายตัวอย่างเหตุการณ์ หรือถ้าเจอสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่มีอารมณ์ไหนเกี่ยวข้องก็หยิบแผ่นสะท้อนความรู้สึกนี้มาใช้ประกอบการอธิบาย แล้วก็บอกว่าในอารมณ์ความรู้สึกนี้ เรม่าทำอะไรได้บ้าง เล่น รู้สึกเสียใจ ร้องไห้ได้ กอดหม่ามี้ กอดตุ๊กตา เล่าระบายให้ฟัง ร้องเพลง เป็นต้น...เด็กจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ถ้าเราใจเย็น รับฟังเพื่อทำความเข้าใจโดยไม่ตัดสิน และช่วยสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกของเขา ...Credit pic: The journey to wellness jumbo feeling chart#บันทึกแม่อิงเลี้ยงลูก#บันทึกให้ลูกอ่าน#การสะท้อนอารมณ์ความรู้สึก#Emotion#Feeling#Wellness#IFeelAndINeed#ItisOktonotBeOk
“การเป็นพ่อแม่ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด”...“คำนำหน้า คำว่าพ่อแม่” อาจจะเกิดขึ้นทันทีที่ตรวจเจอ ขีดสองขีด หรือเห็นลูกดิ้นตอนไปตรวจอัลตราซาวด์แต่ “การเป็นพ่อแม่” ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เกิดขึ้นจากความตั้งใจ และพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเป็นพ่อแม่ที่ดีขึ้นในทุกวัน...เพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนเลิกสูบบุหรี่ เลิกเหล้าเลิกเบียร์ได้ จากที่คิดว่าไม่มีวันเลิกสิ่งเหล่านี้ได้ เพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนหันมาเข้าครัว หัดทำกับข้าว จากที่ปกติไม่เคยทำ หรือทุกวันฝากท้องกับอาหารตามสั่งเพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนกลับมาออกกำลังกาย เพราะอยากมีสุขภาพดี อยู่กับลูกไปนานๆเพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนเลิกเที่ยว ปารตี้สังสรรค์ เพราะอยากกลับมาเล่นกับลูก อ่านนิทาน ส่งลูกเข้านอนเพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนมีสติกับคำพูดมากขึ้น เลิกพูดคำหยาบคาย หันมาพูด คะ/ขา หรือ ครับ/ครับผม กับลูกเพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนกลายเป็นนักสรรหากิจกรรม วันหยุดพาลูกเที่ยว จากที่ปกติวันหยุดนอนอยู่บ้านเฉยๆเพื่อลูก . . . พ่อแม่บางคนได้ฝึกทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ได้ลองในสิ่งที่ไม่เคยลอง และเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้น...ก่อนจะมีลูกพ่อแม่ต่างก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง และไม่รู้ว่า ”การเป็นพ่อแม่” เป็นอย่างไร จนเมื่อได้มาเป็นพ่อแม่เอง จึงได้เข้าใจถึงความสวยงามนี้ พ่อแม่หลายคน “เลือก” ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง พยายาม อดทน และเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดด้วยความรักที่มีต่อลูก เติบโตไปพร้อมกับลูก...“การเป็นพ่อแม่” ทางลัดไม่มีอยู่จริง ประสบการณ์จะช่วยหล่อหลอมให้ พ่อแม่แข็งแกร่งขึ้น เติบโตขึ้น...หนทางการเป็นพ่อแม่ และการเลี้ยงลูกให้เติบโต ไม่ใช่การวิ่งร้อยเมตร แต่เป็น “การวิ่งระยะไกล” ระหว่างทาง อาจจะมีแวะพักเบรค มีช่วงที่มีแรง มีช่วงที่เหนื่อย แต่สำคัญคือ ความสม่ำเสมอ ความอดทน และมีเป้าหมาย...“การเป็นพ่อแม่ เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด” #บันทึกแม่อิงเลี้ยงลูก#บันทึกให้ลูกอ่าน#การเป็นพ่อแม่เส้นทางนี้ไม่มีทางลัด
ลองมาดู 5 วิธีการทดลองเล่นกับลูกๆ ด้วยไข่ไก่ สามารถเล่นได้ง่ายๆ ที่บ้าน แถมลูกได้ฝึกทักษะการสำรวจ และจินตนาการอีกด้วยเครดิต : Youtube Dad Lab
“การเล่น” คืองานของเด็ก”พ่อเเม่หรือผู้ใหญ่บางท่านอาจจะคิดว่า การเล่นคือสิ่งที่การผ่อนคลายหลังจากการเรียนมาอย่างหนักหน่วง เเต่จริงๆ เเล้วการเล่นคือการเรียนรู้ที่สุดของลูกเด็กยุคใหม่เรียนหนักขึ้นทุกวัน เนื่องจากสังคมที่เปลี่ยนเเปลงไป พ่อเเม่หลายท่านต้องการให้ลูกของตัวเองมีพัฒนาการเเละเติบโตให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป หนึ่งในความคิดที่มีคือการให้ลูกเรียนหนักตั้งเเต่ยังเล็ก โดยเฉพาะในสังคมไทยที่พ่อเเม่มีความคาดหวังสูงที่จะให้ลูกเป็นไปเเบบที่ต้องการ อย่างไรก็ตามเด็กทุกคนล้วนมีความฝันเเละต้องการได้รับโอกาสที่จะ "ทดลองฝัน" ซึ่งสิ่งที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝัน ได้มีจินตนาการเเละความคิดสร้างสรรค์คือ “การเล่น”Childhood (โรงเรียนริมป่า) คือภาพยนตร์สารคดีจากประเทศนอร์เวย์ที่พ่อเเม่เเละครูทุกท่านควรดู!ภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้เหล่าถึง โรงเรียนอนุบาลออโรร่าในประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีแนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ (Waldorf) โดยทำการถ่ายทอดสิ่งที่เด็กทำในเเต่ละวัน มีทั้งการเดินสำรวจป่า ทำอาหาร ประดิษฐิ์ของเล่นของตัวเอง เล่นเเบบไม่มีจุดมุ่งหมายใดๆ ฯลฯ ซึ่งไม่มีการนั่งเรียนเเบบ lecture ครูมีหน้าสำคัญในการเปิดโอกาสเเละสนับสนุนในสิ่งที่เด็กต้องการจะทำมีเเง่คิดดีๆ หลายข้อที่ได้หลังจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้เลยทอยากถ่ายทอดให้พ่อเเม่ทุกท่าน1. เราจะได้ยินคำพูดเชิงบวกเช่น “ได้เลย” “เยี่ยม” “ลองดูสิ” ระหว่างผู้ใหญ่เเละเด็กอยู่ตลอดทั้งเรื่อง โดยจะสังเก็ตเห็นได้ว่าคำพูดเหล่านี้ล้วนเเต่เป็นคำพูดที่สนับสนุน เปิดโอกาสให้เด็กๆ ทดลองทำในสิ่งที่เขาสงสัยเเละสนใจ โดยไม่ปิดกลั้นโอกาส ถึงเเม้สิ่งที่เด็กอยากทำอาจจะเสี่ยงเเละมีอันตรายบ้างก็ตาม เช่น เด็กใช้มีดเหลาดาบเพื่อใช้เล่นฟันดาบกับเพื่อน ลองกินเเมลง เป็นต้น ซึ่งคำพูดเหล่านี้ดูเผลินๆ อาจจะเป็นคำพูดธรรมดาๆ เเต่เเท้จริงทรงพลังเเละมีผลต่อพัฒนาการของเด็กเป็นอย่างมาก“เราไม่ได้ต้องการเด็กที่เกรดดีกว่า แต่เราต้องการเด็กที่มี EF ดีกว่า ซึ่งการเล่นเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่สร้างเนื้อสมองลูกให้แข็งแรง”- นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์2. เด็กไม่ได้เล่นคนเดียว เเต่ยังสื่อสารเเลกเปลี่ยนการเล่นเเละมุมมองจากเพื่อนร่วมเล่นด้วย อย่างที่รู้กันดีว่าเด็กปัจจุบันใช้เวลาจำนวนมากไปกับโทรศัพท์มือถือ เเละเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ซึ่งเวลาเหล่านั้ควรเป็นที่เด็กได้เล่น ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนวัยเดียวกัน การที่เด็กอยุ่กับเครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ ทำให้เขาอยู่กับตัวเองมากจนเกินไป ในภาพยนตร์จะสังเกตเห็นว่าเด้กเล่นร่วมกันกับเพื่อน พูดคุยหยอกล้อเเลกเปลี่ยนกันตลอดเวลา ซึ่งสิ่งนี้คือการที่พวกเขาได้เรียนรู้ซึ่งกันเเละกัน (Peer-learning) เเละได้ฝึกเเก้ไขปัญหา (Problem-solving) การตัดสินใจ (Decision-making) และการทำงานเป็นทีม (Collaboration) ร่วมกัน3. บทบาทของครูในเรื่องไม่ใช่ผู้สอนเเต่ความรู้ เเต่เป็นผู้ที่เขาใจถึงความคิดเเละสิ่งที่เด็กต้องการจริงๆ จากในหนังครูปล่อยอิสระเด็กให้ทำสิ่งที่อยากทำ ครูไม่เคยกำหนดเป้าหมายให้เด็กเลยว่า “การเล่นเเล้วต้องได้เเบบนี้นะ” “ต้องทำเเบบนี้ถึงจะถูก” เเต่ปล่อยให้เด็กค้นหาวิธีเเละออกเเบบการเล่นของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เด็กปฐมวัย (ถึงอายุ 8 ขวบ) เป็นวัยที่เขาควรออกเเบบการเล่นด้วยตัวเขาเอง โดยผู้ใหญ่มีหน้าที่เเค่เปิดโอกาสให้เขาได้เล่นอิสระ ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเล่นมั่วซั่ว เพราะการเล่นมั่วซั่วนี่เเหละคือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด ลองผิดลองถูกไป เดี่ยวเขาจะเรียนรู้เเละเข้าใจด้วยตัวเองเเนะนำพ่อเเม่ทุกท่านจริงๆ สำหรับภาพยนตร์สารคดี Childhood โรงเรียนริมป่า คิดว่าเหมาะกับโลกปัจจุบันที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในทุกๆ วัน การศึกษาไทยที่ไม่ตอบโจทย์ทักษะการคิดวิเคราะห์ จินตนาการต่างๆ บางทีพ่อเเม่อาจจะไม่สามารถพึ่งโรงเรียนได้เหมือนเเต่ก่อน ดังนั้นก็ควรปรับตัวเเละเปิดโอกาสให้ลูกของคุณได้เล่นมากขึ้น กำหนดเป้าหมายเเละความคาดหวังจากตัวเองให้น้อยลง เเละปล่อยให้เขาได้ลองผิดถูกด้วยตนเอง เพราะเด็กเป็นวัยที่ "มีการเล่นเป็นงาน ไม่ใช่การเรียน"สามารถดูภาพยนตร์ตัวอย่างได้ที่:
ทำไมเด็กที่เคลื่อนไหวร่างกายจึงมีผลการเรียนดีกว่าเด็กที่นั่งเฉยๆ? สมองของเด็กที่นั่งเฉยๆ กับเด็กที่เคลื่อนไหวร่างกายต่างกันอย่างไร? สองรูปนี้คือรูปที่สแกนคลื่นความร้อนจากด้านบนศรีษะเด็ก 2 กลุ่ม- กลุ่มเเรก (รูปทางซ้าย) คือเด็กที่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลา 20 นาที- กลุ่มที่สอง (รูปทางขาว) คือเด็กที่ออกไปเดิน/วิ่งเล่นเป็นเวลา 20 นาทีสมองของเด็กทั้งสองกลุ่มมีผลต่อประสิทธิภาพในการจำเเละตอบสนอง ซึ่งเป็นปัจจัยต่อผลการเรียนของเด็กๆ โดยได้มีการให้เด็กสองกลุ่มทำแบบทดสอบด้านการอ่าน สะกดคำ และคิดเลข ผลปรากฏว่า เด็กที่ออกไปเดิน/วิ่งเล่นเป็นเวลา 20 นาที มีการตอบสนองที่เเม่นยำและเร็วกว่า เด็กที่นั่งอยู่กับที่เป็นเวลา 20 นาที ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถอ่านจับใจความได้ดีกว่าอีกด้วยสมองของเด็กที่เคลี่อนไหวร่างกายเป็นประจำจะมีการพัฒนาระบบบสอง 2 ส่วนที่เป็นปัจจัยทำให้มีผลการเรียนดี ได้แก่1. Working Memory - การถ่ายทอดข้อมูลจากความจำระยะสั้น (Short-term Memory) เป็น ความจำระยะยาว (Long-term Memory) เช่น รู้ว่าสามเท่าของสองคือหก ซึ่งเท่ากับ 3 คูณ 2 2. Relation Memory - ความสามารถในการจำข้อมูลเเละตอบสนองในสิ่งที่เห็นตรงหน้า เช่น การการตอบสนองเมื่อรู้ว่าต้องเลี้ยวซ้ายสรุปได้ว่าระบบสมองของเด็กที่เคลี่อนไหวร่างกายเป็นประจำสามารถตอบสนองต่อการเรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ค่อยได้เคลี่อนไหวร่างกาย รวมทั้งมีผลดีต่อผลการเรียนเชิงวิชาการ และ ความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาระบบสมองถือเป็นรากฐานที่สำคัญของพัฒนาการในเด็กอายุ 3-8 ปี หากระบบสมองพัฒนาไม่เต็มที่เเละถูกวิธี ในระยะยาวอาจจะส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็กได้เห็นแบบนี้เเละพ่อเเม่หรือคุณอย่าให้เด็กๆ นั่งอยู่กับที่เป็นเวลานาน หมั่นพาเขาออกไปเล่น ไปทำกิจกรรมนอกเหนือจากการนั้งเรียนหน้าหน้าจอบ้างในช่วงนี้อ้างอิงhttps://activelivingresearch.org/sites/activelivingresearch.org/files/ALR_Brief_ActiveEducation_Jan2015.pdf?fbclid=IwAR2pTSz_XHC2Ux59Wn4K1W4qm2PPUt79j3a1Z50DbCU0u6CkJqbJxffmTck
สวัสดีค่ะ กระทู้แรกของเราเลยอยากจะมาเป็นการ "รีวิว" นิทานสั้นๆกันนะคะ ลูกคนเล็กเรายังอายุน้อย ขี้อึดอัดพอสมควร บอกให้ใส่หน้ากาก จะทีไรแปปๆเอาออก เราเลยพยายามหาวิธีสอนให้ลูกเข้าใจสถานการณ์เจ้าโรคนี้มากขึ้น หาไปหามา... เจอนิทานของ สสส. เกี่ยวกับโควิดที่เค้าเคยลงไว้ตั้งแต่ระลอกแรก ปรากฎว่าทำมาดีกว่าที่คิดมากเลย (ไม่ได้ค่าโฆษณาอะไรนะคะ 5555) ลองดูกันนะคะ แต่ละเรื่องอ่านฟรี แล้วก็ดาวน์โหลดเก็บใน ipad ไว้เปิดให้ลูกดูภาพได้ด้วย อานีสกับกอล์ฟสู้โควิด - เรื่องโปรดของลูกเลย ภาพน่าร๊ากก แถมอธิบายเรื่องได้ครบถ้วน ง่ายๆ สอนลูกจบในเรื่องเดียวคะแนน: 4.5/5Link: https://www.happyreading.in.th/bookreview/detail.php?id=532 มาล้างมือกันเถอะ - เรียกได้ว่าไม่มีเนื้อหาอะไรเลยนอกจากล้างมือค่ะ 555 สำหรับเรายังชักจูงลูกเราไม่น่าจะได้เท่าไหร่คะแนน: 1.5/5Link: https://www.happyreading.in.th/bookreview/detail.php?id=529&fbclid=IwAR2rqWTHlhpI6vFvGZAaV_Ww2bT_ugY30dF7vHQewCNi1-9iWmFCmvVYHeA อีเล้งเค้งโค้ง - มีเนื้อหาเกี่ยวกับโควิดเยอะมาก มีตัวละครหลายตัว แต่ไม่ค่อยน่ารัก วาดแบบง่ายๆ เนื้อหาแอบจะเยอะเกินจนยากที่เด็กจะเก็บหมดด้วยค่ะคะแนน: 3.5/5Link: https://www.happyreading.in.th/bookreview/detail.php?id=530 หนูจี๊ดติดจอ - ไม่ค่อยเกี่ยวกับโควิดเท่าไหร่ แต่เป็นการสอนให้ลูกไม่ดูทีวีเยอะเกิน เสียดายแอบสั้นไปหน่อย แต่สอนลูกได้ดีค่ะคะแนน: 4/5Link: https://www.happyreading.in.th/bookreview/detail.php?id=517&fbclid=IwAR2gTIcUVniLQ6pofVgoPTVnPZPKlgPBLIOtRO-vOViRIFLmLdr_zHcU4WE เครดิต: เว็บ สสส.
จากการระบาดของโคโรนาไวรัส (COVID 19) ระลอกใหม่นี้ เราสังเกตเห็นว่าอุปสรรคพ่อแม่หลายๆครอบครัวว่าจะจัดการวางแผนการเรียนรู้ให้กับลูกๆได้อย่างไรในช่วงล็อกดาวน์ เพื่อให้ลูกของเราได้พัฒนาทักษะต่างๆให้ครบทุกด้านโดยที่ไม่ต้องออกจากบ้าน เพราะเราเชื่อว่าเด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาศักยภาพทางสมอง เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งการเปิดรับข้อมูลการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกอย่างรวดเร็ว กล่าวกันว่าสมองของเด็กทารกมีการเรียนรู้มากกว่าการเรียนรู้ของผู้ใหญ่เป็นพัน ๆ เท่า วันนี้เราได้นำไอเดียกิจวัตรของคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านและได้นำมาปรับแต่งให้เป็นตารางกิจวัตรประจำวันฉบับ Palent ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปเป็นแนวทางและประยุกต์ใช้กับลูก ให้ลูกๆของเราได้รับการพัฒนาทักษะทางสมองอย่างเพียงพอ สิ่งสำคัญของตารางนี้จะคำนึงถึงการพัฒนาทักษะทางสมอง (Executive function) ซึ่งเด็กที่มี EF ดี จะมีความพร้อมในด้านการเรียนและการทำงานมากกว่า ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกได้โดยความสัมพันธ์ภายในบ้าน (Relationship) เน้นให้ลูกๆได้ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน เตรียมอาหาร ล้างจาน ทานอาหารเล่นกีฬา ร่วมกัน การเรียนรู้ (Learning) ตามตารางนี้ลูกๆจะได้พัฒนาทักษะทางสมองผ่านการเล่นหรือ กิจกรรมส่งเสริมทักษะต่างๆ ซึ่งการเล่นเหล่านี้จะเน้นให้ลูกได้เรียนรู้หรือฝึกทักษะเหล่านี้ด้วยตนเอง รวมถึงการอ่านหนังสือ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะสังเกตเขาห่างๆ หากเขาต้องการความช่วยเหลือก็สามารถเข้าไปแนะนำได้ความคิดริเริ่มและจินตนาการ (Imagination) ส่งเสริมให้ลูกได้ฝึกให้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ผ่านการทำการฝึกทำอาหาร เด็กๆ จะได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ในการรังสรรค์เมนูของตัวเองขึ้นมา อีกทั้งได้ทดลองสิ่งใหม่ๆเมนูใหม่ๆในห้องครัว การระบายสีก็เป็นอีกหนึ่งที่เด็กแสดงออกอย่างอิสระ ส่งเสริมเด็กให้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งเด็กยังสามารถมองภาพศิลปะรอบตัวให้เข้าใจง่ายตามช่วงวัยของเค้าอีกด้วยทักษะทางร่างกาย (Physical skills) การพัฒนาการเคลื่อนไหวของเด็ก ๆ ที่สามารถควบคุมร่างกาย ให้ทำกิจกรรมที่ซับซ้อนและยากขึ้นได้อย่างคล่องแคล่ว โดยพัฒนาการของการเคลื่อนไหวต้องขึ้นอยู่กับ รูปร่างและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งสิ่งเหล่าจะได้รับผ่านการทำกิจกรรมต่างๆหรือการเล่นกีฬา รวมถึงการวาดภาพระบายสี กล้ามเนื้อนิ้วมือถูกควบคุมด้วยสมอง การใช้นิ้วมือทั้ง 10 ไปพร้อมๆกับการเลือกสีและระบายสีไปตามรูปภาพ ทำให้เกิดการคิด วิเคราะห์ เป็นการกระตุ้นการเจริญเติบโตและพัฒนาเซลล์สมองของเด็กพ่อแม่ท่านใดมีไอเดียในการจัดตารางสำหรับลูกๆสามารถแนะนำในคอมเมนต์ได้เลยค่ะ#palent #ห้องเรียนพ่อแม่ #covid19
1. ชวนลูกมาปลูกผัก เริ่มจากการเตรียมพื้นที่เพิ่มปลูกผัก หากคุณแม่ท่านไหน ที่บ้านไม่มีพื้นที่ก็สามารถใช้พื้นที่ระเบียงตามบ้านหรือคอนโดเพื่อปลูกผักสวนครัวง่ายๆ เช่น ผักบุ้ง กวางตุ้ง การฝึกให้ลูกได้เรียนรู้กับผักต่างๆและได้ลองฝึกปลูกเอง เป็นการฝึกให้รู้สึกคุ้นชินกับธรรมชาติและผักต่างๆมากขึ้น เค้าจะได้ความภูมิใจกับผักที่เค้าได้เป็นคนปลูกและอยากลองรับประทานมันในที่สุด2. ฝึกให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำกับข้าวการฝึกให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำเมนูผัก เริ่มตั้งแต่การล้างผัก หั่นผัก ปรุงอาหาร ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิค ที่จะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจและมีความสุขที่จะได้ทดลองชิมอาหารฝีมือตนเอง 3. น้ำผักช่วยได้ลูกๆบางคนอาจจะไม่ถูกกับกลิ่นและรสชาติของผัก คุณพ่อคุณแม่อาจจะทดลองปั่นผลไม้ที่มีรสหวาน เช่น แอปเปิ้ล ส้ม สัปปะรด ผสมลงกับผัก เพื่อให้ลูกๆทานง่ายยิ่งขึ้น สำหรับใครที่มีเครื่องสกัดแยกกาก ก็สามารถทำได้เช่นกัน 4. การอ่านนิทานหรือรายการทำอาหารช่วยได้การปลูกฝังการกินผักให้ลูกๆโดยการอ่านนิทาน การ์ตูน ที่เกี่ยวกับผัก (หนูถั่วลันเตา หนูมะเขือเทศ Ratatouille Popeye ) หรือรายการทำอาหาร (Master chef) บ่อยๆอาจช่วยได้ เมื่อเด็กๆรู้สึกสนุก จากการได้เห็นรูปภาพผ่านตัวละครต่างๆจากในหนังสือหรือในรายการที่มีหน้าตาที่สวยหรือน่ารับประทาน อาจจะทำให้เด็กๆอยากรับประทานหรือทำเมนูนั้นๆ5. ลองเปลี่ยนชนิดของผักไปเรื่อยๆหากลูกๆไม่ยอมรับประทานผักที่คุณพ่อคุณแม่เลือกในตอนแรกไม่ได้แสดงว่าเด็กๆจะไม่อยากรับประทานผักทุกชนิด คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องทดลองเปลี่ยนผักชนิดใหม่ๆ ให้ลูกๆได้ทานไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอผักที่คุณลูกถูกใจและชอบรับประทาน โดยอาจจะลองเลือกผักที่มีรสชาติหวานและกินง่ายก่อนก็ได้ค่ะ เช่น ฟักทอง บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ เป็นต้น6. ผสมผักลงในเมนูจานโปรดของลูกๆการที่เด็กๆเห็นผักสีเขียวๆอยู่ในจานตั้งแต่ต้นอาจจะทำให้เค้ารู้สึกไม่อยากกิน เราอาจจะเริ่มต้นด้วยผสมผักชิ้นเล็กๆลงในเมนูจานโปรดของพวกเค้า โดยอาจจะเริ่มจากผักที่กินง่ายๆก่อน เช่น ผักชี ต้นหอม ลงในเมนูโปรดของพวกเค้าอย่างไข่เจียว เพื่อให้เค้าได้คุ้นชินกับรสชาติและอยากรับประทานรสชาตินี้อีกในภายหลัง7. ลองต้มผักให้เปื่อยก่อน การเริ่มต้นโดยให้ลูกๆลองกินผักสดอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องด้วยกลิ่น รสชาติ เนื้อสัมผัส ที่แข็ง เราอาจจะทดลองน้ำไปต้มหรือลองนำไปผัดเพื่อให้ผักรสชาติและมีความอ่อนมากขึ้น เพื่อง่ายต่อการรับประทาน8. คุณพ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่างพ่อแม่ควรกินผักให้ลูกของเราเห็นเป็นตัวอย่างๆ หรือกินต่อหน้าลูกๆในโต๊ะอาหารบ่อยๆ พร้อมบอกคุณประโยชน์ เพื่อให้ลูกน้อยของเราเกิดความคุ้นชิน อาจจะไม่ได้ผลตั้งแต่ครั้งแรกๆ แต่ความต่อเนื่องอาจจะทำให้ลูกอยากสนใจและทดลองรับประทานมันในที่สุด9. รังสรรค์เมนูให้ถูกใจลูกน้อย เมนูและรสชาติก็เป็นส่วนสำคัญสำหรับลูกน้อย สำหรับคุณพ่อคุณแม่มีมีฝีมือในการทำอาหาร อาจจะลองทำเมนูที่ถูกใจลูกน้อย เริ่มจากการดูว่าปกติลูกของเราชอบกินอาหารประเภทไหน และรังสรรค์เมนูผักที่ดูลูกน้อยของเรามีแนวโน้มที่จะอยากรับประทาน เช่น ถ้าลูกเราเป็นคนที่ชอบรับประทานอาหารฝรั่ง อย่างพิซซ่า เราอาจจะลองทำเมนูที่คล้ายๆกันอย่างผักโขมอบชีส ซุปผัก เพื่อให้ลูกได้ลองชิมอาหารใหม่ๆโดยที่มีผักอยู่ในนั้น 10. เอ่ยคำชมบ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่ควรเอ่ยคำชมบ่อยๆให้ลูกๆ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาอยากกินผักมากขึ้น คำชื่นชมจะทำให้พวกเขามีกำลังใจและอยากกินผักในครั้งทัดๆไปด้วยตนเอง ซึ่งดีกว่าการให้รางวัลโดยตรงเพราะระยะยาวอาจจะทำให้ลูกๆเป็นคนที่ทำอะไรแล้วหวังผลตอบแทน
ไปเจอคลิปนึงมาค่า ครูโรงเรียนอนุบาลสอนเด็กๆให้รู้จักล้างมือโดยใช้แค่ พริกไทขั้นตอนง่ายๆมากค่ะ1. เอาพริกไทยโรยใส่น้ำในชาม2. ให้น้องลองเอานิ้วจิ้มลงไปในน้ำ จะเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมีพริกไทยติดอยู่ที่นิ้วบางส่วน3. ให้น้องล้างมือด้วยน้ำสบู่หรือจุ่มน้ำสบู่4. เมื่อจิ้มนิ้วที่มีสบู่ลงไป พริกไทยจะกระจายตัวหนีออกไป เปรียบเหมือนโควิดที่กลัวสบู่หลักการง่ายๆคือ สบู่จะลดแรงตึงผิวน้ำ ทำให้น้ำอ่อนตัวและกระจายตัวไปแทนที่จะมาติดนิ้วในเชิงโควิด สบู่ที่ดูดโมเลกุลน้ำจะไปทำลายแรงตึงผิว และโมเลกุลอีกส่วนก็ยังดูดไขมันชั้นนอกของเชื้อและฆ่าเชื้อไวรัสได้ลองสอนน้องตามอายุกันดูได้นะคะ :)
อยากให้ลูกมีความเข้มแข็งทางจิตใจ??? ความเข้มแข็งทางจิตใจหมายถึง ความสามารถในการพยายามต่อสู้ แก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ โดยใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่อย่างเต็มที่ถึงแม้ผลสุดท้ายจะแก้ปัญหานั้นๆไม่ได้ก็ตาม และสามารถยอมรับกับความล้มเหลวได้ ความเข้มแข็งทางจิตใจไม่ได้หมายถึง การไม่มีอารมณ์ความรู้สึก การไม่ร้องให้ หลายๆคนตีความว่าคนที่ร้องไห้คือคนอ่อนแอ แต่จริงๆแล้วจะดีกว่าถ้าเราสามารถรู้จักอารมณ์และเคารพความรู้สึกของตนเอง แต่สามารถหาทางควบคุมและจัดการกับอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม แล้วยังสามารถกลับมาพยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีสติอีกครั้ง การเลี้ยงลูกให้มีความเข้มแข็งทางจิตใจ พ่อแม่สามารถฝึกลูกจากปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันได้ โดยเมื่อมีปัญหาพ่อแม่ต้อง #สอนให้ลูกรู้จักและเข้าใจอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดปัญหา ให้รู้พยายามตางไปตรงมากับความรู้สึกของตัวเอง เช่น เสียใจก็ร้องไห้ สนุกก็หัวเราะ #ถามถึงความรู้สึกของลูก ว่ารู้กำลังรู้สึกอะไรอยู่ ถ้าลูกไม่สามารถบอกได้พ่อแม่อาจบอกอารมณ์ที่ลูกกำลังรู้สึกให้ลูกรู้ เช่น หนูร้องไห้ เพราะหนูกำลังเสียใจ หนูเสียงดัง เพราะหนูกำลังโกรธ เป็นต้น #ถามลูกว่าอะไรเป็นเหตุให้ลูกรู้สึกอย่างนั้น ขั้นตอนนี้ควรปล่อยให้ลูกเรียนรู้อารมณ์และอยู่กับอารมณ์นั้นๆจนลูกเริ่มสงบลงแล้ว ค่อยๆตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ถ้าลูกไม่แน่ใจเราอาจให้ตัวเลือกกับลูกได้ #ถามลูกว่าแล้วเราจะแก้ปัญหานี้ยังไงดี โดยพ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้ลูกคิดเองก่อนว่าสำหรับลูกแล้วทางออกมีกี่ทาง และแต่ละทางเลือกมีผลดีผลเสียอย่างไร จากนั้นให้ลูกลองชั่งน้ำหนักและเลือกดู ระวังอย่าพยายามยัดเยียดความต้องการของเราให้ลูก แต่หากลูกเลือกทางที่มีปัญหาเพิ่มขึ้นก็ควรบอกถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา และถามว่าลูกพร้อมจะรับผิดชอบต่อสิ่งนั้นมากน้อยแค่ไหน #ให้กำลังใจลูกว่าเรารู้สึกแย่ได้ ร้องไห้ได้ แล้วเราจะมาพยายามแก้ปัญหากันใหม่ การแก้ปัญหาไม่ได้ในครั้งแรกเป็นเรื่องปกติ บางครั้งพ่อแม่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ชมลูกว่าลูกเก่งมากแล้วที่พยายาม จากนั้นกอดลูกเพื่อให้ลูกรู้สึกได้ว่าไม่ว่าอย่างไรพ่อแม่ก็รักและอยู่เคียงข้างลูกเสมอ อย่าลืมนะคะว่าความเข้มแข็งทางจิตใจไม่ใช่การห้ามหรือบอกลูกว่าอย่าร้องไห้ คนที่จิตใจเข้มแข็งต้องรักตัวเองเป็น มีself esteems ที่ดี เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง จะช่วยให้ลูกสามารถพยายามก้าวข้ามและต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆอย่างเหมาะสม มาเป็นโค้ชให้ลูกรัก แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจกันนะคะ #อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิกผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและครอบครัว โรงพยาบาลพระรามเก้า#เพจ: จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยา
พ่อแม่หลายๆท่านอาจจะคิดว่าการหยอกล้อหรือแหย่ลูกๆ เป็นการสร้างสีสรรค์หรือความสนุกภายในครอบครัว การเล่นหยิกแก้มหรือจั๊กจี้เอว การเล่นแย่งอาหารหรือสิ่งของกัน เป็นวิธีการสร้างความใกล้ชิดและความสัมพันธ์กับเด็กภายใต้ขอบเขตของการสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งสองฝ่าย การหยอกล้อเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกๆได้ แต่หากว่าการแหย่เหล่านั้นเกิดขอบเขตหรือกระทบจิตใจลูกๆ เมื่อนั้นการแหย่เด็กโดยไม่คิดให้รอบคอบและระมัดระวังถึงผลกระทบต่อเด็กที่ตามมามากมายจึงไม่ใช่วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกต่อไป เช่น การล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สูง-ต่ำ ดำ-ขาว อ้วน-ผอม การกระทำเหล่านี้อาจส่งผลกระทบกับจิตใจของพวกเขา และส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาวให้กับเด็ก ทางด้านอารมณ์และจิตใจ ทำให้พวกเขามีปมติดตัวในระยะยาว ซึ่งอาจจะทำให้เขามีพฤติกรรมที่เลียนแบบหรือเป็นคนที่ก้าวร้าวเมื่อเขาโตขึ้น เป็นคนที่สูญเสียความมั่นใจในตนเอง เรามักจะเห็นพ่อแม่ชอบแหย่หรือล้อเลียนลูกๆ เกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอก เช่น อ้วน ดำ คำพูดเหล่านี้อาจจะดูเป็นเรื่องขบขันในครอบครัว แต่อาจจะส่งผลต่อจิตใจให้กับเด็กๆ ทำให้เขาเป็นคนที่ขาดความมั่นใจในตนเอง และท้ายที่สุดจะทำให้เขาเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกเพราะกลัวจะโดนเด็กๆหรือคนในสังคมล้อเลียน เป็นคนที่แปลกแยกในสังคม การที่โดนผู้ใหญ่หยอกล้อหรือล้อเลียนบ่อยๆอาจส่งผลกระทบให้เขารู้สึกว่าแปลกแยกในสังคม เช่น หยอกล้อในเรื่องผลการเรียน ว่าทำไม่ถึงไม่เก่งเท่าเพื่อนคนอื่นๆ รวมถึงการเปรียบเทียบกับพี่น้องในครอบครัว สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน และรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่นและแปลกแยกในสังคม อาจจะนำมาสู่ความเครียด การที่เด็กต้องตกอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้นานๆจะทำให้พวกเขามีอารมณ์ที่แปรปรวน หงุดหงิดและโมโหง่าย มีพฤติกรรมทำตาม ลูกๆที่โดนแหย่หรือหยอกล้อบ่อยๆ อาจจะส่งอิทธิพลต่อพวกเขา ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เขาอาจจะไปใช้สิ่งที่เขาโดนกระทำไปใช้กับเด็กคนอื่น เช่น ไปล้อปมด้อยของเด็กคนอื่นๆ เพื่อที่จะทำให้เขารู้สึกสบายใจว่า ด้วยความที่พวกเขาเป็นเด็กอาจจะคิดว่าเป็นพฤติกรรมที่ใครๆเขาก็ทำกัน ส่งท้ายที่สุดอาจจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและชอบบูลลี่คนอื่น การทำแบบนี้ในสังคมจะส่งผลให้พวกเขามีผลต่อการความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับสมาชิกอื่นในสังคมอีกด้วยและท้ายที่สุดเขาจะกลายเป็ฯเด็กไม่มีเพื่อนในที่สุด ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ การถูกเย้าแหย่ที่เกินเลยเป็นประจำ มักทำให้เด็กรู้สึกอึดอัดและคับข้องใจ เนื่องจากเรื่องที่ตัวเองไม่พอใจนั้นถูกมองเป็นเรื่องสนุกและเป็นที่ขบขันของคนอื่น และด้วยความเป็นเด็กจึงถูกดึงเข้าสู่ภาวะเครียดและกดดันโดยที่ไม่สามารถบอกหรือแก้ไขได้ด้วยตัวเอง และเกิดความฝังใจในเรื่องใดๆ มักไม่สามารถรับมือหรือจัดการกับอารมณ์ของตนเองในทิศทางที่เหมาะสมได้ บางคนฉุนเฉียวและโมโหง่าย บางคนอยู่กับความกลัวและวิตกกังวล บางคนอยู่กับความทุกข์ใจ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
ชม Live Facebook แลกเปลี่ยนในหัวข้อ “พ่อแม่จัดการเรียนรู้ให้กับลูกเล็กได้อย่างไรในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง?”
แบ่งปันกิจกรรมสนุกให้กับเด็กๆนะคะกิจกรรม: ขวดเป่าโป่งอุปกรณ์: ขวดปล่าว,ลูกโป่ง,นำ้ส้มสายชู,เบกกิ้งโซดา,สีผสมอาหาร(แล้วแต่)คำอธิบาย:เมื่อผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูเข้าด้วยกันจะเกิดก๊าซที่เรียกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเริ่มขยายตัวในขวดและเริ่มพองลูกโป่ง ยิ่งสร้างก๊าซมากเท่าไหร่ลูกโป่งก็จะพองตัวมากขึ้นเท่านั้นวิธีทำ:https://www.facebook.com/PlayWithHo/videos/1408411136008690/?vh=eยังมีกิจกรรมต่างๆ อีกมาก ไปดูในเพจ ตามลิ้งค์ข้างล่างนะคะhttps://www.facebook.com/PlayWithHo/
️แม่สีมีกี่สีคะ??แม่สีมีอะไรบ้างคะ?วันนี้มาเรียนรู้การผสมดีแบบสนุกๆ โดยใช้ประสาทสัมผัสโดยการมองเห็น โดยให้ แผ่นซีดีเก่า แล้วระบายแม่สีวางบนซีดี แล้วหมุนๆ ลองดูนะคะ งานนี้น้องโฮหมุนซีดีติ้วๆๆๆ ทั้งวันและจำสีผสมกันต่างๆ ได้เลยค่ะ ว่าด้วยเรื่องสี สามสีหลักหรือ แม่สี ( primary colors): แดง, เหลือง, น้ำเงิน สามสีรอง หรือ ทุติยภูมิ (secondary colors): ส้ม, เขียว, ม่วง หกสี ตติยภูมิ (Tertiary Colors): แดง ส้ม, เหลือง ส้ม, เหลือง เขียว, น้ำเงิน เขียว, น้ำเงิน ม่วง, แดง ม่วงซึ่งเกิดจากการผสมสีหลักกับสีรองhttps://www.facebook.com/100668381585573/posts/246738500311893/?vh=e&d=n
วันนี้มาเรียนรู้การแลกเปลี่ยนนำ้กับอากาศ โดยการเจาะรู และใส่นำ้ลงไป ใช้ฝาปิด ถ้าเราปิดๆ เป็น จำนวนอากาศจะต่างกัน นำ้ก้อจะไหลออกจากรูต่างๆ กันค่ะ คล้าย นำ้เต้นระบำ ค่ะ วีธีทำhttps://www.facebook.com/100668381585573/posts/250913996561010/?vh=e&d=nคำอธิบายอากาศจะเริ่มดันน้ำภายในขวดและดันออกมาจากรู! พอเราปิดฝาอีกครั้งน้ำจะหยุดรั่วเพราะความดันของอากาศรอบขวดจะอุดรูอย่างที่เห็นค่ะ #ครัวน้องโฮ #กิจกรรมแม่ลูก https://www.facebook.com/PlayWithHo/
อาทิตย์นี้มาสังเกตนำ้ในขวดใส ว่าจะเป็นอย่างไรเวลา นำ้เคลื่อนที่เป็นวงกลม โดยใช้ขวดพลาสติกใส สองขวดต่อกัน คำอธิบายเมื่อเราเติมนำ้ปล่าวในขวดและหมุนขวดเป็นวงกลม ก้อจะเกิด แรงผลักจากจุดศูนย์กลาง ซึ่งเป็นแรงหันเข้าด้านในที่ดึงวัตถุหรือของเหลวเข้าหาศูนย์กลางของเส้นทางวงกลม เวลาเราหมุนเป็นวงกลมก้อจะเกิด กระแสน้ำวนดูเหมือนพายุทอร์นาโดหมุนติ้วๆอย่างที่เราเห็นค่ะ #ครัวน้องโฮ #กิจกรรมแม่ลูก #วิทยาศาสตร์เด็กhttps://www.facebook.com/100668381585573/posts/286117776373965/?vh=e&d=n
วันนี้เล่นเกมส์ง่ายๆ โดยฝึกการจำชื่อสัตว์ต่างๆโดยการใบ้ ไม่มีรูป ใึกสรอ่านไปไหนตัว ใช้คำง่ายๆที่เขาคุ้นเคยค่ะ สนุก ง่ายๆ ประหยัด แถม สอนไปในตัว ถูกใจแม่ๆค่ะ เล่นได้ทั้งครอบครัวก็ได้ #ครัวน้องโฮ #กิจกรรมแม่ลูก #วิทยาศาสตร์เด็กตัวอย่างการเล่นhttps://www.facebook.com/100668381585573/posts/259357652383311/?vh=e&d=nMore Videos:https://www.facebook.com/PlayWithHo/
วันนี้มาเล่นของง่ายๆ โดยการเอียงกระป๋องน้ำอัดลมให้ได้ 45 องศาโดยการเทน้ำอัดลมออกแล้วเหลือปริมาณที่เหมาะสมจากนั้นลองเอามาเอียงข้างข้างกันขวดแก้วสามารถเอียงและหมุนได้ค่ะhttps://www.facebook.com/PlayWithHo/videos/489576815720080/?vh=e&d=nคำอธิบายโดยปริมาณที่เหมาะสมจุดศูนย์ถ่วงของน้ำรวมกับน้ำหนักที่เล็กมากของกระป๋องจะอยู่เหนือจุดสัมผัสระหว่างกระป๋องกับโต๊ะโดยตรงและจะสมดุลกันอย่างลงตัว ... เนื่องจากน้ำเป็นของเหลวที่ไหลได้จึงต้องอยู่ในระดับที่อยู่ในกระป๋องเสมอ #ครัวน้องโฮ #กิจกรรมแม่ลูก #วิทยาศาสตร์เด็กhttps://www.facebook.com/PlayWithHo/
อยากทราบความคิดเห็นจากคุณพ่อคุณเเม่ในประเด็นนี้ครับ พอดีผมไปเจอโพสคนที่ถูกเเชร์ในเฟสบุ๊คเกี่ยวกับการใช้ภาษาในหนังสือนิทานเล่นหนึ่งที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาดี โดยใช้ประโยคที่ว่า “ให้ครูจับจิ๋มทีหนึ่ง ขนมรังผึ้ง ครูยกให้ฟรี” ตามภาพ ซึ่งมีคนแสดงความเห็นในหลากหลายเเง่มุม - บางกลุ่มคิดว่าเป็นเรื่องดีในการสื่อสารให้เด็กรู้จักการปฐิเสธหรือเอาตัวรอดหากเกิดการคุกคามทางวาจาหรือร่างกายตั้งแต่ยังเล็ก - บางกลุ่มองว่าการสอนเด็กเรื่องการรู้จักเอาตัวรอดหรือตระหนักถึงการถูกคุกคามเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างไรก็ตามควรใช้ภาษาที่สุภาพกว่านี้ในหนังสือ หรือยกตัวอย่างอื่นที่สามารถทำให้เด็กเข้าใจได้เหมือนกัน หนังสือนิทานคือสื่อสำคัญในการเรียนรู้ของเด็กเล็ก ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องที่น่านำมาถกเเละหาเเนวทางและขอบเขตการผลิตสื่อสำหรับเด็กเล็กทั้งด้านเนื้อหา และความเหมาะสม คุณพ่อคุณเเม่มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ? Credit ภาพ: https://www.facebook.com/keerati.temsiripong/posts/3585082808215877
อยากได้ความเห็นคุณพ่อคุณแม่คนอื่นค่ะสำหรับการเลือกโรงเรียนอยากให้ลูกได้ภาษา แต่ก็อยากจะทราบข้อดีข้อเสียของทั้งสองอย่างแต่ละคนตัดสินใจด้วยอะไรกันบ้างคะ
ก่อนอื่นอยากรู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ตอบคำถามนี้ได้ไหม?แล้วคิดว่าคำถามนี้ยากเกินไปสำหรับเด็กอนุบาลในการสอบเข้าอนุบาบ 1 ไหม? ส่วนตัวคิดว่ายากมาก ตัวเองยังตอบไม่ได้เลย 5555 แลกเปลี่ยนกันครับอ้างอิงที่มา: https://twitter.com/phanuphan/status/570219032516775936?s=21
ลูกตอนนี้เรียนป.6 คบกับกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียนชอบพาไปไปร้านเกมส์ บางทีก็โดดเรียน พอเราจับได้ก็ตักเตือน จริงก็ไม่อยากให้คบกับเด็กกลุ่มนี้เลย กลัวลูกเราจะเสียคน ถ้าห้ามไม่ให้คบกับเด็กกลุ่มนี้จะโหดร้ายไปไหมคะ หรือมีแนวทางในการพูดไหมคะ เพราะตอนนี้ลูกสนิทกับเด็กคนนี้มากไม่รู้ห้ามไปจะฟังหรือป่าว
ไปเจอแอคเค้าทวิตเตอร์ของลูก ใช้คำพูดรุนแรงพอสมควร โดยเฉพาะหัวข้อการเมืองทั้งๆที่ต่อหน้าพ่อแม่ก็สุภาพอ่อนน้อมดี เราไม่กีดกันทางการเมือง และปล่อยให้ลูกมีอิสระนะคะ แต่แอบเป็นห่วงเรื่องอารมณ์และถ้อยคำที่ใช้ไม่ทราบว่ามีใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้บ้างไหมคะ
เราเข้าใจดีว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ ตัวเราเองพยายามคิดไปมาหลายรอบว่าเราคิดไปเองรึเปล่าร้องไห้ อยากอยู่คนเดียว คิดโทษตัวเองตลอดเวลาเคยไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอบอกว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหลังคลอดตอนนี้ผ่านมา 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้นค่ะทำอย่างไรดีคะ
อยากทราบว่า เวลาคุณพ่อคุณแม่เลือกอนุบาลให้ลูกตอนลูกกำลังจะเข้าอนุบาล 1 จะคำนึงถึงปัจจัยอะไรในการเลือกบ้างครับ เช่น ใกล้บ้าน ราคา ฯลฯ มาแลกเปลี่ยนกันครับ ขอบคุณมากครับ
ลูกชายไม่ยอมกินผักเลยค่ะ ตอนนี้น่าจะมีปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ถ่ายยากแข็ง น่าสงสารมาก ตอนนี้ก็เริ่มไม่ค่อยกินข้าวเพราะกลัวปวดท้อง ดุก็แล้ว เคี่ยวเข็ญก็แล้ว จนแทบจะหมดหนทางก็ยังไม่ยอมกินค่ะ อยากสอบถามเคล็ดลับจากคุณหมอหรือคุณแม่ท่านอื่น
ลูกติดแม่มากเลยครับ ไม่เล่นกับพ่อเลย
น้องสมาธิสั้น เวลาสำคัญมากๆ เพราะ ทำอะไรได้ช้า เช่นการทานอาหารเช้า จะช้ามาก เค้าจะมีอะไรในหัว บางที่ก็พูดออกมา เรื่องการ์ตูน แต่ข้าวไม่ยอมตัก เราจะมีวิธีการ อย่างไรให้ลูกทำกิจกรรมต่างๆเร็วขึ้นมั้ยคะ
ตอนนี้ลูกอายุ 10 ขวบค่ะ ชอบอ่านหนังสือมากแต่ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือการ์ตูน อยากฝึกให้ลูกอ่านหนังสือที่เป็นวรรณกรรมหรือหนังสือเขียนมากขึ้นค่ะ อยากปรึกษาคุณพ่อคุณแม่ว่าพอจะมีวิธีไหมคะ
ลองหาข้อมูลแล้วมีหลากหลายมากเลยค่ะอยากได้ความเห็นพ่อๆแม่ๆ ว่าเด็กเล็ก 2-3 ขวบ พาไปหาหมอฟันที่ไหนกันและให้ทำอะไรกันบ้างคะ เคลือบฟลูออไรด์ หรือมีอะไรบ้าง
สวัสดีค่ะเราอยากหากิจกรรมให้ลูกทำ จะเป็น ดนตรี กีฬา หรืองานอดิเรกอะไรก็ได้ค่ะ ที่ลูกจะได้ทำกิจกรรมเราอยากให้เป็นสิ่งที่เค้าชอบจริงๆ ไม่ได้อยากยัดเยียดหรืออะไร แค่อยากให้เค้าลองค้นหาตัวเองดูคุณแม่ๆมีวิธีอะไรในการหาสิ่งที่ลูกชอบบ้างคะ ตอนนี้เรามีพาไปลองทีละแบบ ดูว่าเค้าจะเอนจอยรึเปล่าแต่บางทีเค้าก็ดูจะชอบแค่ครั้งแรกๆ แล้วก็จะเบื่อไปเลยค่ะ
สอบถามหน่อยค่ะ เรื่องลูกที่บ้านร้องไห้บ่อยมาก วันนี้ร้องไป 20 รอบแล้วค่ะ ลูกอายุ 3 ขวบ ไม่ทราบว่าปกติไหมคะแบบนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงยังไงดี กลัวโตขึ้นมาแล้วจะเป็นเด็กเอาแต่ใจ
สวัสดีค่ะ น้องยังติดแพมเพิท ไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง ควรทำอย่างไรดีคะ
ลูก 5 เดือน หนัก 9.3 กิโล แข็งแรงดี ไม่เคยป่วยทานนมแม่แต่ยังไม่ยอมพลิกคว่ำเลยค่ะ
สับสนค่ะว่าจะเริ่มอาหารให้ลูก หมอบางท่านให้เริ่มอาหาร 5หมู่ได้เลย บางท่านให้เริ่มทีละอย่าง เลยไม่แน่ใจว่าสามารถให้ทานไข่แดงได้หรือยังคะ ตอนแรกคุณหมอให้ลองทานน้ำต้มผักตั้งแต่4 เดือนเพราะสัญญานมาแล้ว ตอนนี้แม่ลองให้ทานแครอท ข้าวโพด ผักคะน้าบด ทานดีมื้อแรก 2 มื้อถัดมาดูน้องไม่ค่อยอยากกินแล้วร้องไห้เลยไม่ได้ฝืนทานต่อค่ะ หรือจะรอblw ตอน 6 เดือนดีคะ
น้อง 5 เดือนครึ่ง เริ่มทานอาหารเสริมวันละมื้อตามที่คุณหมอบอก เริ่มจากน้ำต้มผัก 2 ช้อนโต๊ะ จนมาเป็นผักต้มบดละเอียด ไม่มีอาการผิดปกติอะไร แต่วันที่คุณย่าป้อนกล้วย 2 ช้อนโต๊ะ น้องตื่นมาร้องไห้กลางดึก พออ๊อกออกมาเป็นนมที่ย่อยแล้ว ก็หลับต่อได้ หรือ บางวันก็จะตื่นมาดิ้นไปมา พออ๊อกก็หลับต่อได้ ไม่ทราบว่าเกี่ยวกันไหมคะ แม่สามีขูดกล้วยให้กิน ก็ไม่กล้าขัดและเห็นว่าทานผักบดได้ไม่มีปัญหาในปริมาณพอๆกันค่ะ ปล.2 วันที่เริ่มมีอาการนอกจากป้อนกล้วยแล้ว แม่สามีป้อนน้ำด้วยค่ะ
มีน้องสองคนค่ะ ตอนนี้คนโตค่อนข้างติด ipad พอสมควรเลยยอมรับว่าเป็นความผิดของเราเองที่มีช่วงไม่ว่าง เลยเอาไอแพดให้น้องนั่งเรียน นั่งเล่นไม่ทราบว่าตอนนี้อายุกำลังจะ 6 ปีแล้ว แก้ไขอย่างไรดีคะไม่อยากยึดมาเลย พอจะมีวิธีแนะนำให้ค่อยๆเพลาๆลงไหมคะ
เจอปัญหาลูกพูดคำหยาบที่ติดมาจากเพื่อนๆในโรงเรียนจะแนวทางแก้ไขยังไงดีคะ
พ่อๆแม่ๆค่ะ ลูกเอาแต่ใจ ไม่ค่อยฟังพ่อแม่ พอไม่ตามใจก็ร้องไห้ไม่หยุดเลยค่ะ พ่อแม่ท่านอื่นมีวิธีจัดการยังไงกันคะ รบกวนด้วยนะคะ
ขอปรึกษาหน่อยครับพอดีลูกพึ่งเข้าอนุบาล 1 ได้ไม่ได้นานเเล้วยังร้องไห้ตอนเเม่ไปส่ง กอดขาแม่ไม่ยอมปล่อยดี ครูต้องมาช่วยพาเข้าห้องเรียน เป็นแบบนี้มาอาทิตย์นึงแล้ว จะทำอย่างไรดีครับ? มีใครเคยมีประสบการณ์เเบบนี้บ้างครับ เเล้วเเก้ไขอย่างไร?ขอคำแนะนำด้วยครับ
ลูกเพื่อนอายุ 3 เดือนรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากนมแม่เท่าไหร่ จะทำอย่างไรดีครับ? อยากขอคำแนะนำครับ
ลูกชายตอนนี้อายุ 12 ปีมีพฤติกรรมก้าวร้าวมากค่ะ เวลาพูดตักเตือนเค้าหรือพูดอะไรไม่ถูกหูขึ้นมาก็จะขึ้นเสียงใส่ทันที บางทีใช้คำพูดที่ไม่ค่อยดีด้วย พอตักเตือนก็จะไม่พอใจ กระแทกข้าวของ หลังๆมาก็ไม่ค่อยกล้าสอนเค้ามากเพราะพอพูดทีไรก็ไม่ค่อยฟัง จะชวนทะเลาะตลอด ใครพอจะวิธีแก้ไขปัญหาบ้างไหมคะ
พอดีลูกคนโตกำลังจะขึ้นป.1 เเต่สนใจการเเรียนเเบบบ้านเรียน จึงอยากรู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีครับ? เอาหลักสูตรมาจากไหน? เเม่สอนคนเดียวไหวไหม? ลูกเราจะมีสังคมไหม? ขอคำแนะนำด้วยครับ
อยากปรึกษาค่ะ มีน้องอายุ 1ขวบครึ่ง ตอนนี้ก่อนนอนทุกคืนจะอ่านนิทานให้น้องฟังเเต่นอนจะอยู่ไม่สุข ไม่มีสมาธิตั้งใจฟังนิทานที่เเม่อ่านให้ฟังเลย เคยลองให้น้องเปิดอ่านเองก็ได้เเค่เเปปๆ เเม่ก็ไม่อยากดุหรือว่าน้อง เเต่ก็อยากให้น้องจดจ่อมีสมาธิกับการอ่านนิทานค่ะ มีวิธีเเก้ไขปัญหาบ้างไหมค่ะ
ผมมีลูก 2 คน อายุ 3 และ 6 ปี อยากทราบว่าวัยนี้ควรเล่นอะไรที่เสริมสร้างพัฒนาการของเขาครับ? เเละลูกทั้งสองคนสามารถเล่นร่วมกันได้ไหมครับ?
ตอนนี้น้องอายุ 6 ขวบค่ะ ยังนอนกลางวันอยู่อยากทราบว่าให้ลูกเลิกนอนกลางวันกันประมาณช่วงไหนคะ เพราะอะไรคะ
ลูกเรา 3.1 ปี ถามทำไมๆๆๆๆๆทั้งวัน หลังๆมาเริ่มตอบลูกไม่ถูก คำถามมันยากขึ้น มันยากตรงที่ไม่รู้จะอธิบายให้เค้าเข้าใจได้ยังไงนี่แหละค่ะอย่างวันสองวันมานี้ นั่งรถไปด้วยกัน ลูกเห็นดวงจันทร์มันเคลื่อนที่ตามตลอดเวลา ลูกก็ถามว่าทำไมดวงจันทร์มันวิ่งตามหนู แล้วทำไมตอนป๊าหยุดรถมันถึงไม่วิ่ง พอเราพยายามนึกว่าจะตอบยังไง ชีก็เร่งเร้าให้ตอบ ไม่ตอบก็ถามอยู่นั่น อีกคำถามนึง ดวงอาทิตย์มันไปใหน ทำไมไม่เห็นดวงอาทิตย์กลมๆเหมือนดวงจันทร์ คำตอบเราถ้าไม่รู้จะตอบข้อเท็จจริงยังไง บางทีก็ตอบไป เช่น ก็ดวงจันทร์มันอยากเล่นกับหนูงัย มันเลยวิ่งตาม 55 บางอย่างก็เลี่ยงไปเช่น หม่าม้าก็ไม่รู้ เด๋วไปเปิดหนังสือ เปิดไอแพดหากันนะ บางทีก็ เด๋วลูกไปโรงเรียนเมื่อไร ค่อยถามคุณครูดีมั้ย คุณครูเค้ารู้ เหอๆ เกี่ยงไปอยากรู้ว่าบ้านอื่นคุยกะลูกแบบใหนกันบ้าง ถ้าเจอคำถามที่ยากจะตอบให้เด็กเล็กๆเข้าใจเช่นนี้ได้ยังไงบ้างคะ
ปีโป้ เป็นอันตรายกับเด็กไหมคะ น้องอายุ 2.3 ขวบ ขอกินปีโป้
ขอเชิญครู อาจารย์ ผู้ดูแลเด็ก และผู้สนใจ เข้าร่วม งานประชุมวิชาการ ประเด็นเด็กปฐมวัย ครั้งที่ 1/2564 ในหัวข้อดนตรีกับการส่งเสริมพัฒนาการ และ ฟื้นฟูเด็กปฐมวัย วันที่ 17 มกราคม 2564 เวลา 09.00 – 13.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ Zoom meeting สามารถลงทะเบียนฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายได้เลยที่: https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSeVVdJ5J8p8jJDOf2tyJK6svqMRoyU1GUWem0gW1qX300HnCQ/viewform
Workshop: “Know yourself, Know your child, and grow together”“รู้จักตัวเอง รู้จักลูก เติบโตไปด้วยกัน”สายสัมพันธ์ในครอบครัวที่แข็งแกร่งมั่นคงคือรากฐานสำคัญของชีวิตในทุกด้าน สายสัมพันธ์พ่อแม่-ลูกที่ดีเริ่มต้นจากพ่อแม่ต้องรู้จักตัวเอง เข้าใจตัวเองในฐานะพ่อแม่ และรู้จักลูก เข้าใจลูกในแบบที่เขาเป็น เข้าใจพัฒนาการตามวัยของลูกทั้งด้านร่างกาย ความคิด และอารมณ์หัวใจสำคัญของการสร้างสายสัมพันธ์คือการสื่อสารที่ดีในครอบครัว เพื่อนำไปสู่การยอมรับและการเคารพซึ่งกันและกัน และลดระยะห่างระหว่างพ่อแม่กับลูกให้ใกล้กันมากที่สุด โดยไม่ทำให้ฝ่ายใดอึดอัดเกินไป และในวันที่ลูกเติบใหญ่ สายสัมพันธ์นี้จะช่วยให้ลูกมีภูมิคุ้มกันทางใจ รู้จักเห็นคุณค่าในตัวเอง พร้อมฝ่าฟันอุปสรรคและเติบโตไปด้วยกัน นำกิจกรรมโดยเมริษา ยอดมณฑปนักจิตวิทยาด้านเด็กและครอบครัวเจ้าของเพจ : ตามใจนักจิตวิทยา, ผู้ก่อตั้ง ห้องเรียนครอบครัว สิริสักก์ เจริญรวิภักดิ์ (ผู้ช่วยวิทยากร)นักกิจกรรมบำบัดและผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับพฤติกรรมเด็กผู้ร่วมก่อตั้ง ห้องเรียนครอบครัว [กำหนดการ]จันทร์ที่ 14 ธันวาคม 2563เวลา 13.00 - 16.00 น.(เริ่มลงทะเบียน 12.30 น.)ณ CONNEXT ชั้น 3 Clazy Cafe' The Seasons Mall (BTS สนามเป้า)[รายละเอียดกิจกรรม]กิจกรรมที่ 1 รู้จักตัวเอง (พ่อแม่)กิจกรรมที่ 2 รู้จักลูกกิจกรรมที่ 3 สายสัมพันธ์ของเรากับลูกเป็นอย่างไรกิจกรรมที่ 4 การสื่อสารที่ดีกิจกรรมที่ 5 พื้นที่ส่วนตัวกิจกรรมที่ 6 จดหมายถึงลูก [วิธีสมัครเข้าร่วมกิจกรรม](1) กรอกแบบฟอร์มสมัครเข้าร่วม workshop ได้ที่ https://bit.ly/FormsWS_TheBookYouWish ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563(2) ข้อมูลประกอบการรับสมัครในแบบฟอร์มก. ประวัติส่วนตัว และข้อมูลติดต่อเบื้องต้นข. เหตุผลที่อยากเข้าร่วม workshop และความคาดหวังที่จะได้รับจากกิจกรรม(3) ประกาศผลผู้ได้รับการคัดเลือกภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 ทางอีเมลผู้สมัคร(4) ผู้ได้รับคัดเลือกต้องโอนเงินค่ามัดจำ 1,000 บาท เข้าบัญชีบจก.บุ๊คสเคป ธนาคารกสิกรไทย บัญชีเลขที่ 037-2-64728-0เพื่อเป็นการยืนยันการเข้าร่วม workshop ภายในวันที่ 4 ธันวาคม 2563 และแนบหลักฐานการโอนเงินพร้อมรายละเอียดบัญชีสำหรับรับเงินคืน มาพร้อมอีเมลยืนยันการเข้าร่วม workshop มิเช่นนั้นถือว่าสละสิทธิ์ ทั้งนี้ทางโครงการจะคืนเงิน 1,000 บาทให้เต็มจำนวน ภายหลังจากได้เข้าร่วมกิจกรรม **หมายเหตุ**1. เนื้อหากิจกรรมมีการพูดถึงความทรงจำในวัยเด็ก ความสัมพันธ์กับครอบครัวในปัจจุบัน และมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หากผู้สมัครท่านใดไม่สะดวกใจ ไม่แนะนำให้เข้าร่วมกิจกรรม2. กิจกรรมมีการเคลื่อนไหวลุกนั่ง กรุณาแต่งกายลำลองในวันเข้าร่วมกิจกรรม3. กิจกรรมอ้างอิงฐานความรู้จากหนังสือ "เสียดายแย่ ถ้าพ่อแม่ไม่ได้อ่าน" (The Book You Wish Your Parents Had Read) โดยหลังจากเข้าร่วมกิจกรรม ผู้เข้าร่วม workshop จะได้รับหนังสือคนละ 1 เล่ม4. รับจำนวนจำกัด 30 คนอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหนังสือได้ที่https://bookscape.co/.../issue.../book-you-wish-your-parentsจัดโดยโครงการขับเคลื่อนความรู้ด้านการสร้างเสริมสุขภาวะเด็กและครอบครัว และการพัฒนาศักยภาพเยาวชน สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) : ThaiHealth ร่วมกับสำนักพิมพ์ bookscape
เราเข้าใจลูกจริงหรือไม่? ที่ผ่านมาเราเคยรับฟังลูกอย่างไร มาค้นพบวิธีการฟัง ให้ เข้าใจ กับ "Selfin's Deep Listening & Growth Mindset Workshop" กิจกรรมที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ ได้ยินเสียงของลูกชัดกว่าที่เคย พร้อมขยายกรอบความคิด เพื่อค้นพบศักยภาพและความต้องการของลูกอย่างแท้จริง ในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ เวลา 13.00 - 17.00 นาฬิกา Event Banana Siam SquareOne ชั้น3 โดยคุณ ปัณณวัฒน์ วีรบุรีนนท์ - นักจิตวิทาการปรึกษาปริญญาเอก ผู้เอาชนะอาการสมาธิสั้น (ADHD) และภาวะการบกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน (Dyslexia) รายละเอียดกิจกรรม : - รับฟังการบรรยายหัวข้อ Deep Listening และ Growth Mindset - ทำกิจกรรม Workshop เพื่อปฏิบัติจริง - เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงของนักจิตวิทยาที่ก้าวข้ามภาวะสมาธิสั้น (ADHD) และภาวะการบกพร่องทางการเรียนรู้ (Learning Disorder) ด้านการอ่าน (Dyslexia) พิเศษ Kids' Corner กิจกรรมเสริมพัฒนาการและสมาธิให้กับน้องๆที่มาเข้าร่วมตลอดกิจกรรม อัตราค่าลงทะเบียน (รวมของว่างและอุปกรณ์การรับฟังบรรยาย) 1. ผู้ปกครอง 1 ท่าน - 690 บาท 2. ผู้ปกครอง 2 ท่าน - 1,200 บาท 3. น้องๆอายุ 3-15 ปี คนละ 200 บาท ลงทะเบียนได้ที่ https://lin.ee/C3oOfCG สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Inbox Facebook Page: https://www.facebook.com/contact.selfin
พาเด็กๆมาชมทองทะเลสวยๆ ฟรี! เปิดประสบการณ์มหัศจรรย์ สำรวจโลกใต้ทะเล SEA LIFE Aquarium Experience ตื่นตาไปกับโลกใต้ทะเล ให้จินตนาการใกล้แค่เอื้อม เรียนรู้ชีวิตแมงกะพรุนเรืองแสง จัดแสดงปะการัง และปลาการ์ตูน เดินชมนิทรรศการเปลือกหอย วันนี้ - 6 ธันวาคม 2556 ที่ชั้น 3 – San Francisco (ใกล้สะพาน Golden Gate) ห้างสรรพสินค้า Terminal 21 Pattaya เข้าชมฟรี โซนสำรวจโลกใต้ทะเล: -จัดแสดงแมงกะพรุนถ้วย แมงกะพรุนหางขน แมงกะพรุนหัวกลับ -จัดแสดงแมงกะพรุนพระจันทร์ (Moon jellyfish) ไซร์ใหญ่กว่า 10 cm. -จัดแสดงปลาไหลริบบิ้น ปลาผีเสื้อลายไขว้ท้ายส้มหรือเหลือง นาโซ -จัดแสดงปะการัง และปลาการ์ตูน -จัดแสดงกุ้งมดแดง และอมไข่ครีบยาว -จัดแสดงปลาแปลก -จัดแสดงปลิงหลากชนิด โซนนิทรรศการ: -การจัดแสดงนิทรรศการเปลือกหอย ฟอสซิล -การจัดแสดงแมงกะพรุนดองชนิดกินได้ และเป็นพิษ -การจัดแสดงการ์ตูนอะนิเมชั่นเรื่อง แมงกะพรุน โซนกิจกรรมสัตว์ทะเลน่ารัก -ระบายสีเทียนภาพสัตว์ทะเล ไม่เสียค่าใช้จ่าย -Jigsaw สัตว์ทะเล ไม่เสียค่าใช้จ่าย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: https://web.facebook.com/Terminal21Pattaya/posts/1140984269650512
Event รับลมหนาวส่งท้ายปี ที่โรงแรมครีมส่งท้ายปีไปเลยน้าาา✐ ลิงค์ด้านล่างคือรายชื่อ (พร้อมปก) หนังสือ ที่เตรียมไว้สำหรับ garage sale ยังมีมากกว่านี้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบ online library ของเราอีกเยอะเลยhttps://baiporbaipor.libib.com/i/cream-garage-sale✐ สามารถพิมพ์ว่า CREAM Bangkok ในกูเกิ้ลแมพได้ หรือศึกษาเส้นทางได้ที่นี่นะhttps://g.page/creambangkok?share
มาเป็นส่วนหนึ่งกับเราในการช่วยเหลือพ่อแม่